[ครบชุด] 2211001 กลับบ้านมาเซอร์ไพรซ์แฟน กิตติ์ จำโบ้ซีรี่ย์

ZEEKR 7X: นิยามใหม่ของ SUV ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ที่พร้อมลุยทุกเส้นทางในปี 2025

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์ไฟฟ้ามานับทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของอุตสาหกรรมนี้มาอย่างต่อเนื่อง จากรถยนต์ไฟฟ้าที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงพาหนะแห่งอนาคต สู่ความเป็นจริงที่เข้าถึงได้ในปัจจุบัน และในปี 2025 นี้เอง เรากำลังจะได้สัมผัสกับหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตาที่สุด นั่นคือ ZEEKR 7X SUV ไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ไม่เพียงแค่เข้ามาเติมเต็มตลาด แต่ยังมาพร้อมกับนิยามใหม่ของคำว่า “รถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์” ด้วยพละกำลังที่มหาศาล เทคโนโลยีล้ำสมัย และที่สำคัญคือ “ความสามารถในการบุกตะลุย” ที่เหนือความคาดหมายของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ นี่คือการวิเคราะห์เจาะลึกจากประสบการณ์ตรง เพื่อให้คุณเห็นภาพว่าทำไม ZEEKR 7X จึงเป็นมากกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป แต่เป็นพันธมิตรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบไม่ธรรมดา

ปลดล็อกขีดจำกัด: การออกแบบที่ผสานความหรูหราเข้ากับความแกร่ง

เมื่อแรกเห็น ZEEKR 7X ในงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ผมต้องยอมรับว่า Geely แบรนด์แม่ของ ZEEKR ได้สร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นอย่างแท้จริง การออกแบบภายนอกของ ZEEKR 7X สะท้อนปรัชญา “Luxury Meets Robustness” ได้อย่างลงตัว เส้นสายที่ไหลลื่นแต่คมชัด ให้ความรู้สึกถึงความปราดเปรียวและทันสมัยในแบบของรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม แต่ในขณะเดียวกัน สัดส่วนที่สมมาตรและความสูงที่พอเหมาะของตัวรถก็บ่งบอกถึงศักยภาพในการลุยได้อย่างชัดเจน

ไฟหน้า Stargate Front Light Panel ไม่ได้เป็นเพียงแค่การออกแบบที่สวยงาม แต่ยังเป็นเสมือนผืนผ้าใบดิจิทัลที่สามารถปรับเปลี่ยนกราฟิกได้หลากหลายรูปแบบ สร้างความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใครบนท้องถนน มิติของตัวถังที่ ยาว 4,787 มิลลิเมตร กว้าง 1,930 มิลลิเมตร และสูง 1,650 มิลลิเมตร พร้อมระยะฐานล้อ 2,900 มิลลิเมตร ให้ความรู้สึกของ SUV ขนาดกลางที่โอ่อ่า แต่ยังคงความคล่องตัว ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance) ที่ 173 มิลลิเมตร อาจดูไม่สูงเท่ารถออฟโรดโดยกำเนิด แต่เมื่อผนวกเข้ากับระบบช่วงล่างถุงลม Active Air Suspension with CCD ที่เป็นหัวใจสำคัญ เราจะพบว่าตัวเลขนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ZEEKR 7X ไม่ใช่แค่ SUV ไฟฟ้าสำหรับเมืองหลวง แต่เป็น “รถยนต์ไฟฟ้าออฟโรด” ในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในรุ่น Long Range RWD และล้อ Forged ขนาด 21 นิ้วในรุ่น Performance AWD ที่มาพร้อมยางขนาด 265/40 R21 ไม่เพียงเสริมความงาม แต่ยังสะท้อนถึงสมรรถนะที่พร้อมจะพุ่งทะยานหรือบุกตะลุยได้อย่างมั่นใจ ระบบเบรกดิสก์เบรก 4pot พร้อมคาลิปเปอร์เบรก Akebono สีส้มสดใส ไม่ใช่แค่เพิ่มความปลอดภัย แต่ยังเป็นการประกาศถึงขีดจำกัดของสมรรถนะที่เหนือกว่า และฟีเจอร์ที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริงอย่างประตูทั้ง 4 บานที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า รวมถึงม่านบังแดดประตูคู่หลังที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เสริมประสบการณ์พรีเมียมในทุกการเดินทาง นี่คือการลงทุนในเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและสุนทรียภาพของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

ก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ: ห้องโดยสารพรีเมียมที่หลอมรวมความสบายและเทคโนโลยี

เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโดยสารของ ZEEKR 7X คุณจะรู้สึกราวกับได้หลุดเข้ามาในห้องรับรองพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อการผ่อนคลายและประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ ZEEKR 7X โดดเด่นในฐานะ “รถครอบครัวไฟฟ้า” ระดับพรีเมียม เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Nappa Leather คุณภาพสูง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความนุ่มนวลและความหรูหรา ไม่เพียงให้สัมผัสที่เหนือระดับ แต่ยังช่วยให้ทุกการเดินทางไม่ว่าใกล้หรือไกล เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริง ระบบนวดและเป่าลมในเบาะคู่หน้าคือพระเอกที่ช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการขับขี่ หรือแม้แต่หลังจากการทำงานอันหนักหน่วง เปลี่ยนการเดินทางที่แสนยาวนานให้กลายเป็นการฟื้นฟูพลังงานในแบบส่วนตัว

สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เบาะที่ปรับเอนด้วยระบบไฟฟ้าคืออีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สะท้อนความใส่ใจในทุกรายละเอียด ผู้โดยสารสามารถปรับองศาการนั่งได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะต้องการพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือเพลิดเพลินกับภาพยนตร์ผ่านระบบความบันเทิงอันล้ำสมัย ห้องโดยสารด้านหลังจึงไม่ใช่แค่ที่นั่ง แต่เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ นี่คือความสมบูรณ์แบบที่ทำให้ ZEEKR 7X ไม่ใช่แค่ “รถยนต์ไฟฟ้า” แต่เป็น “ห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่” ที่ตอบสนองทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว

หัวใจของการเชื่อมต่อและบันเทิงคือหน้าจอกลาง Mini LED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3.5K ที่ให้ภาพคมชัดและสีสันสดใสราวกับมีโรงภาพยนตร์ส่วนตัวอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานระบบนำทาง ชมสื่อบันเทิง หรือเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ การแสดงผลก็ทำได้อย่างลื่นไหลและน่าประทับใจ แต่สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นคือหน้าจอ AR HUD ขนาด 36.21 นิ้ว ที่ฉายข้อมูลสำคัญขึ้นบนกระจกหน้ารถโดยตรง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ข้อมูลการขับขี่โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน เพิ่มทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ “รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง” ควรมี

ควบคู่ไปกับหน้าจอ Cluster ขนาด 13.02 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลการขับขี่ในรูปแบบที่สวยงามและเข้าใจง่าย ทั้งหมดนี้ทำงานภายใต้การประมวลผลของชิป Qualcomm Snapdragon 8295 Processor เทคโนโลยี 5nm Process Technology ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ระบบสารสนเทศและบันเทิงทั้งหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยต่อ และตอบสนองทุกคำสั่งได้อย่างทันใจ นอกจากนี้ ระบบเสียง ZEEKR Sound Pro พร้อมลำโพงคุณภาพระดับสตูดิโอ 21 จุดรอบคัน ได้ถูกจูนเสียงมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อมอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางที่เหนือกว่า ดื่มด่ำในทุกท่วงทำนอง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือบทสนทนาในภาพยนตร์ นี่คือความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ “นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า” ที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ

ขุมพลังแห่งอนาคต: สมรรถนะที่ไร้ขีดจำกัดจากแพลตฟอร์ม 800V

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ZEEKR 7X แตกต่างจาก “รถยนต์ไฟฟ้า 2025” ทั่วไปคือสถาปัตยกรรมไฟฟ้า 800V นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่สูงขึ้น แต่เป็นการยกระดับประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นไปอีกขั้น ZEEKR 7X มาพร้อมกับทางเลือก 2 รุ่นย่อยที่ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน แต่มีหัวใจสำคัญร่วมกันคือแบตเตอรี่ Lithium-ion (NMC) ขนาดความจุ 100 kWh ที่รองรับเทคโนโลยี 800V ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของ “ประสิทธิภาพรถยนต์ไฟฟ้า” ระดับสูง

สำหรับรุ่น Long Range RWD ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ให้พละกำลังสูงสุดถึง 422 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.0 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับ SUV ไฟฟ้า และมีความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. จุดเด่นของรุ่นนี้คือระยะทางการวิ่งที่เหนือกว่า 700 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC ทำให้การเดินทางไกลเป็นเรื่องง่ายและไร้กังวล นี่คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหา “รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งไกล” ที่ให้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด

ส่วนรุ่น Performance AWD คืออีกระดับของ “รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง” ที่แท้จริง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำงานร่วมกันเพื่อมอบพละกำลังสูงสุดถึง 646 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร การส่งกำลังแบบ “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า” ทำให้การยึดเกาะถนนเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม และสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 3.8 วินาทีเท่านั้น นี่คือตัวเลขที่เทียบเท่ากับซูเปอร์คาร์หลายรุ่นในตลาดปัจจุบัน และยังคงความเร็วสูงสุดที่ 210 กม./ชม. แม้ว่าระยะทางการวิ่งจะลดลงเล็กน้อยที่มากกว่า 600 กม. (NEDC) แต่ก็ยังคงเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ และแลกมาด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในกลุ่ม SUV ไฟฟ้า

หัวใจสำคัญอีกประการคือความสามารถในการ “ชาร์จเร็ว EV” ด้วยระบบรองรับหัวชาร์จ Type 2 / CCS Combo ZEEKR 7X สามารถรองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 22 kW และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือการชาร์จกระแสตรง DC Fast Charging ที่รองรับสูงสุดถึง 420 kW การชาร์จจาก 10% ไป 80% ใช้เวลาเพียง 13-16 นาที เมื่อใช้หัวชาร์จ DC 360 kW ซึ่งหมายความว่าการหยุดพักเพื่อชาร์จไฟจะสั้นลงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้การเดินทางระยะไกลสะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ภายนอก V2L สูงสุด 3.3 kW ยังเพิ่มความอเนกประสงค์ ให้คุณสามารถใช้รถเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งแคมป์หรือใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าฉุกเฉิน

เหนือความคาดหมาย: SUV ไฟฟ้าที่กล้าลุยออฟโรด

นี่คือจุดที่ทำให้ ZEEKR 7X แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก “EV SUV” ทั่วไปในตลาด การทดสอบ ZEEKR 7X แบบออฟโรดที่เขาใหญ่ก่อนการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ทำให้ผมต้องทบทวนมุมมองที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้าไปโดยสิ้นเชิง เดิมทีผมไม่คาดหวังอะไรมากนักกับการขับขี่ออฟโรดของรถยนต์ไฟฟ้า แต่ ZEEKR 7X ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความสามารถในการบุกตะลุยของมันนั้น “ไม่ธรรมดา” และกลายเป็นจุดเด่นที่ไม่น่าเชื่อ

เมื่อปรับเข้าสู่โหมดออฟโรด ระบบช่วงล่างถุงลมจะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความสูงของตัวรถขึ้นไปอีก 230 มม. ซึ่งช่วยเพิ่มระยะ Ground Clearance ให้สูงพอที่จะผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ในสถานีทดสอบเนินสลับ ผมเห็นรถวิ่งผ่านเนินที่ทำให้ล้อลอยจากพื้น แต่ตัวรถกลับถ่ายกำลังไปยังล้อที่ยังคงยึดเกาะพื้นได้เป็นอย่างดี ทำให้รถเคลื่อนตัวไปได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ประทับใจคือการให้ตัวของช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม ตัวรถโคลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สะท้อนถึงการออกแบบทางวิศวกรรมที่คำนึงถึง “สมรรถนะออฟโรด” อย่างแท้จริง

เมื่อเผชิญหน้ากับเนินชัน ZEEKR 7X แสดงให้เห็นถึงพละกำลังมหาศาลที่พาตัวรถไต่ขึ้นไปได้อย่างไร้กังวล และในจังหวะที่ต้องหยุดกลางเนินแล้วออกตัวใหม่ ระบบจัดการพลังงานไฟฟ้าทำงานได้อย่างชาญฉลาด ไม่ส่งกำลังที่รุนแรงจนเกินไปจนทำให้ล้อฟรีทิ้ง ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปของรถยนต์ที่ไม่มีระบบควบคุมที่แม่นยำ ส่วนในจังหวะลงเนินสูง ระบบ HDC (Hill Descent Control) หรือระบบควบคุมความเร็วของรถยนต์ขณะลงทางลาดชันอัตโนมัติ ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรถยุโรปหรู ทำให้ผู้ขับขี่สามารถลงจากเนินได้อย่างมั่นใจและสบายใจ

การวิ่งผ่านเส้นทางขรุขระด้วย “ช่วงล่างถุงลม” แสดงให้เห็นถึงความนุ่มนวลและเสถียรภาพที่ยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือพวงมาลัยยังคงนิ่งสนิท ไม่มีอาการสั่นหรือตีมือแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่ออฟโรดที่ต้องการการควบคุมที่แม่นยำ ผมสามารถสรุปได้เลยว่า ในด้านการขับขี่แบบออฟโรด ZEEKR 7X “สอบผ่าน” อย่างสมศักดิ์ศรี และเป็นการตอกย้ำว่านี่คือ “รถยนต์ไฟฟ้าลุยได้” อย่างแท้จริง

เมื่อกลับมาสู่ทางเรียบ สมรรถนะความแรงของ ZEEKR 7X ไม่ต้องพูดถึง แรงดึงมหาศาลตามที่ระบุในคู่มือ โดยเฉพาะรุ่น Performance ที่มาพร้อมความนุ่มนวลในขณะเร่งความเร็ว ส่วนรุ่น Long Range ก็ทำได้ไม่น้อยหน้า ให้แรงดึงที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลในระดับที่น่าพอใจ แม้จะออกแนวแข็งกว่ารุ่น Performance เล็กน้อย แต่ก็ยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นคงและสะดวกสบาย นี่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง “ความหรูหรา” “สมรรถนะ” และ “ความอเนกประสงค์” ที่ทำให้ ZEEKR 7X กลายเป็น “รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม” ที่สมบูรณ์แบบสำหรับปี 2025

ความปลอดภัยคือหัวใจ: SEA Platform และเทคโนโลยีล้ำสมัย

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมตระหนักดีว่า “ระบบความปลอดภัย EV” คือสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุด และ ZEEKR 7X ไม่ทำให้ผิดหวัง ตัวรถสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม SEA (Sustainable Experience Architecture) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้น การันตีด้วยมาตรฐาน Euro NCAP 5 ดาว โดยได้คะแนน 91% สำหรับการปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ และ 90% สำหรับการปกป้องผู้โดยสารเด็ก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ZEEKR ในการปกป้องชีวิตของทุกคนในครอบครัว

ระบบช่วยขับขี่ ZEEKR AD ที่ทำงานร่วมกับ Dual Mobileye Chips เพิ่มความแม่นยำและปลอดภัยในการขับขี่ ด้วยการใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และกล้องรอบคันเพื่อช่วยในการตัดสินใจและควบคุมรถในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ การเตือนการชนด้านหน้า หรือระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ ล้วนทำงานได้อย่างไร้ที่ติ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทางให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

นอกจากนี้ โครงสร้างตัวรถแบบ Dome-Shaped และโครงสร้างตัวถังด้านหลังแบบ Single Piece Die-Cast แบบชิ้นเดียวไร้รอยต่อ ไม่เพียงแต่เพิ่มความแข็งแกร่งและความปลอดภัยสูงสุดเมื่อเกิดการชน แต่ยังช่วยลดน้ำหนักของตัวรถโดยรวม ส่งผลให้ “ประสิทธิภาพรถยนต์ไฟฟ้า” ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการใช้พลังงานและสมรรถนะการขับขี่ นี่คือการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เพื่อมอบทั้งความปลอดภัยและประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน

บทสรุปและคำเชิญชวน

ZEEKR 7X เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้า มันคือนิยามใหม่ของ SUV แห่งปี 2025 ที่รวมเอาความหรูหรา ประสิทธิภาพ เทคโนโลยีล้ำสมัย และความสามารถในการบุกตะลุยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว หากคุณกำลังมองหา “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่ไม่เพียงตอบโจทย์การเดินทางในเมือง แต่ยังพร้อมพาคุณออกไปผจญภัยในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย นี่คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม

รุ่น Long Range RWD ด้วยราคาคาดการณ์ประมาณ 1,700,000 บาท ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการ “รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งไกล” พร้อมความสะดวกสบายและฟีเจอร์ครบครัน ส่วนรุ่น Performance AWD ที่ราคาไม่เกิน 1,900,000 บาท คือคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการ “รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง” ที่ให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจและการตอบสนองที่ฉับไวในทุกสถานการณ์

ZEEKR 7X พร้อมพลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่ของคุณ ผมขอเชิญชวนให้คุณสัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำคันนี้ด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบว่า ZEEKR 7X คือพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเดินทางในทุกรูปแบบ สัมผัสประสบการณ์ ZEEKR 7X ได้ในงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย 15 สิงหาคม 2025 นี้ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ยุคใหม่แห่งยานยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เหมือนใคร