Denza D9 Performance AWD 2025: เจาะลึกระบบช่วงล่าง DiSus-C และบทบาทของ MPV ไฟฟ้าพรีเมียมในอนาคต
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ไฟฟ้ามากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดรถยนต์ EV โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถตู้อเนกประสงค์ (MPV) ซึ่งกำลังกลายเป็นทางเลือกที่น่าจับตาสำหรับครอบครัวยุคใหม่และภาคธุรกิจที่มองหานวัตกรรม ความหรูหรา และความยั่งยืน ในปี 2025 นี้ Denza D9 Performance AWD ถือเป็นหนึ่งในยานยนต์ไฟฟ้าที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาด MPV ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูง ดีไซน์อันโอ่อ่า และสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบช่วงล่างอัจฉริยะ DiSus-C” ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ นับเป็นหัวใจสำคัญที่ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้เหนือกว่ารถ MPV ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ Denza D9 Performance AWD จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่ได้สัมผัสและวิเคราะห์สมรรถนะของรถคันนี้อย่างถ่องแท้ ตั้งแต่แพลตฟอร์มการออกแบบที่ล้ำสมัยไปจนถึงความสะดวกสบายในห้องโดยสาร และที่สำคัญที่สุดคือการทำงานของระบบ DiSus-C ที่ท้าทายทุกสภาพถนนในประเทศไทย เพื่อตอบคำถามว่า Denza D9 เหมาะสมกับวิถีชีวิตในโลกยุค 2025 หรือไม่
Denza D9 Performance AWD: นิยามใหม่ของ MPV ไฟฟ้าหรูยุค 2025
Denza แบรนด์ภายใต้ร่มเงาของ BYD ซึ่ง RÊVER Automotive ได้นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารถตู้อเนกประสงค์ไฟฟ้าสามารถมอบประสบการณ์ที่หรูหราและทรงพลังได้ไม่แพ้รถยนต์สันดาปภายในระดับพรีเมียม ในปี 2025 ตลาด MPV ไฟฟ้ากำลังร้อนระอุ และ Denza D9 Performance AWD ก็ยืนอยู่แถวหน้าด้วยจุดเด่นที่ยากจะเลียนแบบ
หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน Denza D9 คือ “แพลตฟอร์ม e-Platform 3.0” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ BYD พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่เน้นเรื่องความปลอดภัยด้วยการผสานรวมแบตเตอรี่ Blade Battery เข้ากับโครงสร้างตัวถัง (Cell-to-Body) แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ภายในห้องโดยสารและลดจุดศูนย์ถ่วงของรถ ทำให้การขับขี่มั่นคงยิ่งขึ้น
ในรุ่น Performance AWD นี้ Denza D9 มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบ 8-in-1 ที่รวมเอาส่วนประกอบสำคัญของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าไว้ในชุดเดียว ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความซับซ้อน มอเตอร์คู่ที่ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 275 กิโลวัตต์ (ประมาณ 370 แรงม้า) และแรงบิดมหาศาลที่ 470 นิวตันเมตร ถ่ายทอดพลังสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างทันท่วงที ทำให้ MPV ขนาดใหญ่คันนี้สามารถพุ่งทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 6.9 วินาที ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ เหนือกว่า MPV สันดาปภายในจำนวนมาก และให้ความรู้สึกของการขับขี่ที่คล่องตัวและกระฉับกระเฉงอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับ “รถยนต์ไฟฟ้า 7 ที่นั่ง”
เรื่องของแบตเตอรี่ Denza D9 Performance AWD มาพร้อมกับความจุ 103.36 kWh ซึ่งมอบระยะทางขับขี่สูงสุด 580 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC แม้ในสภาพการใช้งานจริง ระยะทางอาจจะแตกต่างไปบ้างตามลักษณะการขับขี่และสภาพจราจร แต่ก็ยังถือว่าเพียงพอสำหรับการเดินทางไกลข้ามจังหวัดได้อย่างสบายใจ ระบบรองรับการชาร์จกระแสสลับ (AC) สูงสุด 11 กิโลวัตต์ (3 เฟส) และรองรับการชาร์จกระแสตรง (DC) แบบ Ultra-Fast Charging สูงสุดถึง 166 กิโลวัตต์ ซึ่งอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ในตลาด EV ปี 2025 ทำให้การหยุดชาร์จระหว่างทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่เสียเวลามากนัก นี่คือ “สมรรถนะรถยนต์ไฟฟ้า” ที่ตอบโจทย์การใช้งานของ “รถยนต์ครอบครัวไฟฟ้า” ในยุคปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หัวใจแห่งนวัตกรรม: ระบบช่วงล่างอัจฉริยะ DiSus-C ที่สุดของความเหนือชั้น
สิ่งที่ทำให้ Denza D9 Performance AWD แตกต่างและโดดเด่นอย่างแท้จริงคือ “เทคโนโลยี DiSus-C” ซึ่งเป็นระบบช่วงล่างแบบแอคทีฟที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ DiSus-C ไม่ใช่แค่การปรับความนุ่มนวลธรรมดา แต่มันคือการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ไปอีกขั้น
ระบบนี้ประกอบด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut และด้านหลังแบบ Multi-link ซึ่งเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เพิ่มความอัจฉริยะเข้าไปคือเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับการยุบตัวและการคืนตัวของโช้คอัพแบบเรียลไทม์ ข้อมูลที่ได้จะถูกประมวลผลอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมโซลินอยด์วาล์วภายในโช้คอัพแต่ละตัว ทำให้สามารถปรับความหนืดและความแข็งอ่อนของช่วงล่างได้ในเสี้ยววินาที ข้อดีของระบบนี้คือมีระยะการอัดและคืนตัวที่กว้างกว่าระบบกันสะเทือนทั่วไปหลายเท่า ช่วยให้รถสามารถตอบสนองต่อสภาพถนนที่หลากหลายได้อย่างเหนือชั้น
ลองจินตนาการถึงการขับขี่บนถนนในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ รอยต่อถนนที่ไม่สม่ำเสมอ หรือแม้แต่ฝาท่อระบายน้ำที่ยื่นขึ้นมา ระบบ DiSus-C จะทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำอัจฉริยะที่คอยดูดซับแรงกระแทกเหล่านั้น ทำให้ผู้โดยสารสัมผัสถึงความนุ่มนวลราวกับลอยอยู่เหนือพื้นผิวถนน อาการสะเทือนจากแรงกระแทกจะถูกลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้โดยสารแถวที่สองและสามซึ่งมักจะได้รับผลกระทบจากแรงสะเทือนมากที่สุด จะรู้สึกสบายตัวตลอดการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ “MPV ไฟฟ้า” ควรมี
นอกจากความนุ่มนวลแล้ว DiSus-C ยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อรถมีการเร่งความเร็วหรือเบรกกะทันหัน ระบบจะควบคุมไม่ให้เกิดแรงกระชากหรืออาการหน้าเชิดท้ายทิ่มที่รุนแรงเกินไป ทำให้การเปลี่ยนทิศทางหรือการหยุดรถเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเครียดและเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ นี่คือ “ช่วงล่างอัจฉริยะ” ที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่เน้นความสบาย แต่ยังรวมถึง “ความปลอดภัย EV” และการควบคุมที่ดีเยี่ยมอีกด้วย ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ระหว่าง Sport และ Comfort ผ่านหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 15.6 นิ้ว ซึ่งจะปรับการทำงานของช่วงล่าง พวงมาลัย และเบรก ให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพถนนที่เปลี่ยนไปได้อย่างชาญฉลาด นี่คือ “นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า” ที่ Denza D9 มอบให้
ประสบการณ์การขับขี่จริง: ท้าทาย DiSus-C บนเส้นทางกรุงเทพฯ-อยุธยา
จากการทดสอบขับ Denza D9 Performance AWD บนเส้นทางที่ท้าทาย ตั้งแต่ถนนแจ้งวัฒนะที่ขึ้นชื่อเรื่องความไม่สมบูรณ์ของพื้นผิว ไปจนถึงถนนไฮเวย์ที่ใช้ความเร็วสูง ผมขอยืนยันว่าระบบ DiSus-C ทำงานได้อย่างน่าประทับใจยิ่งกว่าที่คาดไว้มาก
บนถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อและรอยต่อถนนที่ทรุดโทรม ระบบ DiSus-C แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม แรงสะเทือนจากพื้นผิวถนนถูกกรองออกไปได้อย่างเนียนตา ผู้โดยสารสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของรถน้อยมาก เมื่อเข้าสู่ช่วงความเร็วสูงบนทางหลวง ช่วงล่างในโหมด Comfort ยังคงให้ความนุ่มนวลและนิ่งสนิท อาการโยนตัวหรือโคลงเคลงในทางตรงถูกควบคุมได้ดีเยี่ยม แม้จะเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” ขนาดใหญ่ แต่ Denza D9 ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย
ในด้านการเร่งความเร็วและเบรกนั้น ด้วยพละกำลังจากมอเตอร์คู่ การตอบสนองของคันเร่งทำได้อย่างฉับไวและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน อัตราเร่งที่ได้นั้นเพียงพอต่อการแซงรถคันอื่นได้อย่างมั่นใจ การเบรก แม้ในบางจังหวะที่ต้องเบรกหนักกะทันหัน อาจมีอาการ “หัวทิ่ม” บ้างเล็กน้อยตามธรรมชาติของรถ MPV ที่มีน้ำหนักมาก แต่โดยรวมแล้วถือว่าระบบเบรกตอบสนองได้ดีและควบคุมอาการของรถได้ดีกว่าที่คิด ด้วย “ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ EV” ที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
พวงมาลัยของ Denza D9 มีน้ำหนักที่เหมาะสมและให้การตอบสนองที่แม่นยำ ทำให้การควบคุมรถเป็นเรื่องง่าย แม้สำหรับผู้ขับขี่ที่มีรูปร่างเล็กก็ตาม ทัศนวิสัยในการขับขี่ก็ยอดเยี่ยมราวกับขับรถ SUV ทั่วไป เนื่องจาก Denza D9 มีกระจกบังลมขนาดใหญ่และตำแหน่งการนั่งที่สูง ทำให้มองเห็นสภาพการจราจรได้อย่างชัดเจน ระบบกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศาก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ช่วยให้การจอดรถหรือการขับขี่ในพื้นที่จำกัดเป็นเรื่องง่ายขึ้น แม้ Denza D9 จะมีความยาวถึง 5.2 เมตร ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการถอยจอด แต่ด้วยเทคโนโลยีช่วยจอดเหล่านี้ก็ช่วยลดความกังวลไปได้มาก
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ผมมีข้อสังเกตบางประการที่อาจต้องปรับปรุงในอนาคต เช่น อาการโคลงเคลงเล็กน้อยเมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือเมื่อต้องปะทะกับกระแสลมแรง ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับรถ MPV ที่มีขนาดใหญ่และจุดศูนย์ถ่วงที่สูงกว่ารถเก๋งทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาถึงราคาและสิ่งที่ได้รับแล้ว Denza D9 Performance AWD ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าประทับใจอย่างยิ่ง
ภายในห้องโดยสาร: สวรรค์แห่งความหรูหราและเทคโนโลยี
Denza D9 Performance AWD ไม่ได้โดดเด่นแค่ภายนอกและสมรรถนะการขับขี่เท่านั้น แต่ยังยกระดับมาตรฐานของ “ภายในรถยนต์ไฟฟ้าหรู” ด้วยการออกแบบห้องโดยสารที่ประณีตและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยี
เบาะนั่งภายในห้องโดยสารในรุ่น Performance AWD หุ้มด้วยหนัง Nappa Premium คุณภาพสูง ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและนั่งสบายเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้หรือไกล เพดานห้องโดยสารบุด้วยหนังกลับแบบพรีเมียม ช่วยเพิ่มความรู้สึกหรูหราและเก็บเสียงได้ดีเยี่ยม
ในส่วนของเทคโนโลยี Denza D9 มาพร้อมกับระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) ขนาด 12 นิ้ว ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นข้อมูลสำคัญของการขับขี่ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน เพิ่มความปลอดภัยและสะดวกสบายอย่างมาก หน้าจออินโฟเทนเมนต์แบบ Touch Screen ขนาด 15.6 นิ้ว ที่อยู่ตรงกลางแดชบอร์ด ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมระบบความบันเทิงและนำทางเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นแผงควบคุมหลักสำหรับ “ระบบช่วงล่างอัจฉริยะ” DiSus-C การตั้งค่าพวงมาลัย และระบบเบรก ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการตอบสนองของรถให้เข้ากับสไตล์การขับขี่ของตนเองได้อย่างง่ายดาย
สำหรับผู้โดยสารแถวที่สองซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ MPV รุ่นนี้ เบาะนั่งสามารถปรับระดับและรูปแบบการนวดได้หลากหลายรูปแบบ มอบประสบการณ์การเดินทางที่ผ่อนคลายและสะดวกสบายสูงสุด ฟังก์ชันเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้โดยสารระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นเริ่มต้น Premium 2WD ที่จะไม่มีฟังก์ชันการนวดนี้ การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ทำให้ Denza D9 กลายเป็น “MPV ไฟฟ้า” ที่มอบความสุขและความสะดวกสบายให้กับทุกคนในครอบครัว
Denza D9 Premium 2WD vs. Performance AWD: เลือกอย่างไรให้เหมาะสมในปี 2025
ในการตัดสินใจเลือกรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน การเปรียบเทียบแต่ละรุ่นย่อยเป็นสิ่งสำคัญ Denza D9 มีรุ่น Premium 2WD เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า แต่ก็มาพร้อมกับความแตกต่างด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ควรพิจารณา
รุ่น Premium 2WD ใช้ระบบกันสะเทือนแบบ FSD (Frequency Selective Damping) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปรับอัตโนมัติตามความเร็วที่พบได้ในรถรุ่นอื่นของ BYD เช่น BYD SEAL ระบบนี้ให้ความนุ่มนวลที่ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับ DiSus-C ในรุ่น Performance AWD แล้ว ความแตกต่างด้านการซับแรงกระแทกและการควบคุมอาการโคลงเคลงของรถจะเห็นได้ชัดเจนกว่ามาก หากคุณเป็นผู้ที่ชอบความเร็วและต้องการความนุ่มนวลระดับสูงสุดสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง การขยับไปเลือกรุ่น Performance AWD จะมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านอัตราเร่ง รุ่น Premium 2WD ที่เป็นมอเตอร์เดี่ยว ให้ตัวเลข 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในการทดสอบจริงที่ 10.25 วินาที (เทียบกับ 8.53 วินาทีของ Performance AWD) ซึ่งสำหรับรถ MPV ที่เน้นการใช้งานแบบครอบครัวแล้ว ตัวเลขนี้ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ช้าจนรู้สึกอืดอาด แต่ก็ไม่ได้พุ่งทะยานอย่างรวดเร็วเท่ารุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ
ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า รุ่น Premium 2WD มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 24.2 kWh/100 กิโลเมตร ในขณะที่ Performance AWD อยู่ที่ 27.3 kWh/100 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งคู่ ความแตกต่างนี้เป็นผลมาจากน้ำหนักที่มากกว่าและกำลังที่สูงกว่าของรุ่น AWD แต่โดยรวมแล้ว ทั้งสองรุ่นยังคงมีประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ยอดเยี่ยมและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงได้อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับรถ MPV สันดาปภายใน
ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1,999,900 บาท สำหรับ Premium 2WD และ 2,699,900 บาท สำหรับ Performance AWD (ราคาแนะนำ) Denza D9 ทั้งสองรุ่นนำเสนอ “ความคุ้มค่า” ที่แตกต่างกัน หากงบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญและคุณไม่ได้ต้องการสมรรถนะสูงสุด รุ่น Premium 2WD ก็เป็น “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่น่าสนใจและตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเยี่ยม แต่ถ้าคุณมองหาที่สุดของความหรูหรา เทคโนโลยีช่วงล่างที่เหนือชั้น และพลังขับเคลื่อนที่เร้าใจ Denza D9 Performance AWD คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณในปี 2025
สรุปและบทเชิญชวน: อนาคตของ MPV ไฟฟ้าอยู่ในมือคุณ
Denza D9 Performance AWD ไม่ใช่แค่รถตู้อเนกประสงค์ไฟฟ้าทั่วไป แต่มันคือการประกาศถึงยุคใหม่ของยานยนต์ที่ผสมผสานความหรูหรา ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้วย “ระบบช่วงล่าง DiSus-C” ที่เป็นหัวใจหลัก Denza D9 มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ไม่ว่าจะเป็นความนุ่มนวลในการเดินทาง หรือความมั่นคงในการควบคุม ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายสำหรับทุกคนในครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยแพลตฟอร์ม e-Platform 3.0 และระบบขับเคลื่อนที่ทรงพลัง Denza D9 ยังคงเป็นผู้นำด้าน “สมรรถนะรถยนต์ไฟฟ้า” ในกลุ่ม MPV อย่างแท้จริง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ติดตาม “อนาคตรถยนต์ไฟฟ้า” มาอย่างยาวนาน ผมมั่นใจว่า Denza D9 Performance AWD จะเป็นหนึ่งใน “รถยนต์ไฟฟ้าปี 2025” ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาสุดยอดของ “MPV ไฟฟ้า” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นยานยนต์ที่พร้อมพาคุณและครอบครัวก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดได้อย่างมั่นใจและมีสไตล์
อย่ารอช้าที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นและเทคโนโลยีสุดล้ำด้วยตัวคุณเอง เราขอเชิญชวนให้คุณมาสัมผัสความหรูหราและสมรรถนะของ Denza D9 Performance AWD ได้ที่โชว์รูม RÊVER Automotive ทั่วประเทศ เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรโมชั่นพิเศษ หรือนัดหมายเพื่อทดลองขับ Denza D9 ได้แล้ววันนี้ เตรียมพร้อมรับอนาคตของการเดินทางที่เหนือกว่าไปกับ Denza D9!
![[ตอนต่อไป] 249T1129 AB249 เป็นคุณจะทำยังไง ถ้ามีหุ้นส่วนแบบนี้.mp4](https://filmthailan.moicaucachep.com/wp-content/uploads/2025/11/image-256-1.png)
![[ตอนต่อไป] 250T1129 AB250 ผู้จัดการตัวดี ทดสอบคนงานใหม่.mp4](https://filmthailan.moicaucachep.com/wp-content/uploads/2025/11/image-258-1.png)